30.07.2025
ใบขับขี่มีกี่ประเภท ? สรุปมาให้แบบเข้าใจง่ายในบทความเดียว
ประเภทใบขับขี่ บ.1–บ.4 และ ท.1–ท.4 ต่างกันอย่างไร ?
ใบขับขี่ ถือเป็นเอกสารสำคัญที่ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนต้องมี และการเข้าใจประเภทของใบขับขี่ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ควรรู้เอาไว้ เพราะใบขับขี่แต่ละประเภทมีข้อกำหนดและลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน หากเลือกไม่ถูกต้อง อาจทำผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะผู้ที่กำลังจะเริ่มต้นขับรถ หรือกำลังวางแผนซื้อรถคันแรก การรู้ว่าใบขับขี่มีกี่ประเภท พร้อมเข้าใจความแตกต่างของประเภทใบขับขี่ บ.1-บ.4 และประเภท ท.1-ท.4 จะช่วยให้คุณเตรียมความพร้อม และใช้งานรถได้อย่างมั่นใจ
ใบขับขี่มีกี่ประเภท ? สรุปประเภทใบขับขี่ที่ควรรู้
ใบขับขี่ส่วนบุคคล (ใบขับขี่ บ.)
เหมาะสำหรับผู้ที่ขับขี่รถยนต์ส่วนตัว ใช้เดินทางหรือประกอบกิจกรรมส่วนบุคคล เช่น ค้าขายเล็กน้อย แต่ไม่สามารถให้บริการรับจ้างได้ ซึ่งป้ายทะเบียนของรถประเภทนี้จะเป็นพื้นสีขาว ตัวอักษรสีดำ โดยทั่วไปจะมีอยู่ 4 แบบด้วยกัน คือ
ประเภทใบขับขี่ บ.1-บ.4
- ใบขับขี่ บ.1 : สำหรับรถยนต์ที่มีน้ำหนักรวมไม่เกิน 3,500 กิโลกรัม หรือบรรทุกผู้โดยสารไม่เกิน 20 คน เช่น รถเก๋ง รถกระบะ รถตู้ส่วนบุคคล ผู้ขับต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป
- ใบขับขี่ บ.2 : สำหรับรถยนต์ที่มีน้ำหนักรวมเกิน 3,500 กิโลกรัม หรือบรรทุกผู้โดยสารเกิน 20 คน เช่น รถบรรทุก รถบัสส่วนตัว ผู้ขับต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป
- ใบขับขี่ บ.3 : สำหรับรถที่ใช้ขนส่งสินค้าเป็นหลัก เช่น รถบรรทุก 6-10 ล้อ รถสิบล้อพ่วง รถหัวลาก รถบรรทุกพ่วง หรือรถลากจูง ผู้ขับต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป
- ใบขับขี่ บ.4 : สำหรับรถที่บรรทุกวัตถุอันตราย เช่น สารไวไฟ สารเคมี สารติดเชื้อ โดยผู้ขับต้องมีอายุ 25 ปีขึ้นไป
ใบอนุญาตขับขี่ทุกประเภท หรือ สาธารณะ (ใบขับขี่ประเภท ท.)
เป็นใบอนุญาตสำหรับผู้ที่ขับขี่รถยนต์ทั้งรถส่วนบุคคลและรถสาธารณะ เช่น แท็กซี่ รถตู้โดยสาร หรือรถขนส่งสินค้า ซึ่งรวมถึงรถยนต์ที่มีทะเบียนป้ายเหลืองด้วย ซึ่งจะแยกเป็น 4 แบบ คือ
ประเภทใบขับขี่ ท.1-ท.4
- ใบขับขี่ ท.1 : สำหรับรถรับจ้างสาธารณะที่มีน้ำหนักรวมไม่เกิน 3,500 กิโลกรัม หรือบรรทุกผู้โดยสารไม่เกิน 20 คน เช่น รถแท็กซี่ รถตู้โดยสารเล็ก ผู้ขับต้องมีอายุ 22 ปีขึ้นไป
- ใบขับขี่ ท.2 : สำหรับรถรับจ้างสาธารณะที่มีน้ำหนักรวมเกิน 3,500 กิโลกรัม หรือบรรทุกผู้โดยสารเกิน 20 คน เช่น รถ 6-10 ล้อ รถบัส รถทัวร์ ผู้ขับต้องมีอายุ 22 ปีขึ้นไป
- ใบขับขี่ ท.3 : สำหรับรถโดยสารประจำทาง หรือรถที่บรรทุกคนหรือของจำนวนมาก เช่น รถสิบล้อพ่วง รถหัวลาก รถบรรทุกพ่วง หรือรถลากจูง ผู้ขับต้องมีอายุ 22 ปีขึ้นไป
- ใบขับขี่ ท.4 : สำหรับรถที่ขนส่งวัตถุอันตราย เช่น สารไวไฟ สารเคมี สารติดเชื้อ โดยผู้ขับต้องมีอายุ 25 ปีขึ้นไป

คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการทำใบขับขี่ครั้งแรก
สำหรับผู้ที่ยังไม่มีใบขับขี่หรือกำลังจะเข้าสู่กระบวนการสอบใบขับขี่ครั้งแรก มาดูขั้นตอนที่ควรเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเอกสาร การจองคิว และขั้นตอนการทดสอบต่าง ๆ
- ตรวจสอบคุณสมบัติ เช่น มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ไม่เป็นผู้มีร่างกายพิการจนเป็นที่เห็นได้ว่าไม่สามารถขับรถได้ หรือไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน
- เตรียมเอกสารให้ครบ ได้แก่ บัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน และใบรับรองแพทย์ (ไม่เกิน 1 เดือน)
- จองคิวล่วงหน้า ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue หรือเว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบก
- เข้าอบรมและสอบ รวมถึงการเรียนทฤษฎี ทดสอบสายตา สอบข้อเขียนระบบ E-exam และสอบขับรถจริง
หากสอบผ่านในครั้งแรก จะได้รับใบขับขี่ชั่วคราว (2 ปี) ก่อนจะสามารถต่ออายุเป็นแบบ 5 ปีได้
ทำอย่างไร เมื่อใบขับขี่หมดอายุ ?
เมื่อใบขับขี่ที่หมดอายุ จะไม่สามารถใช้งานได้ตามกฎหมาย แต่คุณสามารถดำเนินการต่ออายุใบขับขี่ในกรณีต่าง ๆ ได้ดังนี้
- ใบขับขี่หมดอายุไม่เกิน 1 ปี : สามารถจองคิวทำใบขับขี่ใหม่ต่อได้โดยไม่ต้องสอบอีกครั้ง
- ใบขับขี่หมดอายุเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี : ต้องสอบข้อเขียนผ่านระบบ E-exam ใหม่อีกครั้งและต้องทำคะแนนให้ได้ 90%
- ใบขับขี่หมดอายุเกิน 3 ปีขึ้นไป : ต้องเข้าอบรม สอบข้อเขียนผ่านระบบ E-exam ใหม่ รวมถึงสอบขับรถใหม่ทั้งหมด เหมือนกับการทำใบขับขี่ครั้งแรก
เอกสารที่ต้องใช้ในการต่ออายุใบขับขี่
- ใบขับขี่เดิม หรือใบแทน
- บัตรประชาชนฉบับจริง
- ใบรับรองแพทย์ที่ออกก่อนวันยื่นคำขอไม่เกิน 1 เดือน
รู้หรือไม่ ? ใบขับขี่ที่เหมาะสม ช่วยให้คุณซื้อรถได้มั่นใจกว่าเดิม
การเลือกใบขับขี่ให้ตรงกับลักษณะการใช้งาน ช่วยให้คุณขับรถได้ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น หากซื้อรถกระบะไว้ขนส่งสินค้าเป็นอาชีพ ควรมีใบขับขี่ ท.2 แทนใบขับขี่ส่วนบุคคล หรือหากใช้รถเพื่อรับผู้โดยสาร เช่น แท็กซี่ ควรมีใบขับขี่ ท.1 เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจากด่านตรวจ ประกันไม่คุ้มครอง หรือการต่อทะเบียนที่ยุ่งยาก ช่วยให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจทุกเส้นทาง
มองหารถคันแรกที่ไว้ใจได้ แนะนำรถมือสองคุณภาพจาก Autovilla
เมื่อคุณมีใบขับขี่แล้ว การเลือก “รถคันแรก” ที่มั่นใจได้คืออีกหนึ่งก้าวสำคัญ หากคุณกำลังมองหารถมือสองคุณภาพเยี่ยม ที่ผ่านการตรวจเช็กอย่างละเอียด ทั้งโครงสร้าง ช่วงล่าง เครื่องยนต์ และสมรรถนะการขับขี่ ขอแนะนำ Autovilla ผู้เชี่ยวชาญด้านรถมือสอง โดยเฉพาะรถโตโยต้ามือสอง ฮอนด้ามือสอง และยี่ห้ออื่น ๆ อีกมากมาย ที่มีให้เลือกมากกว่า 300 คัน ทุกคันผ่านการตรวจสภาพรถยนต์ถึง 344 จุด จาก Goo Inspection ซึ่งเป็นสถาบันที่ได้รับการรับรองจากประเทศญี่ปุ่น พร้อมรับประกันไม่มีชนหนัก ไม่ตัดต่อ ไม่จมน้ำ และไม่มีประวัติพลิกคว่ำ เพื่อให้ลูกค้าได้รถมือสองที่พร้อมใช้งานจริง ปลอดภัย และตอบโจทย์การใช้งานของคุณในทุกด้าน
เรามีสาขาให้บริการรวม 3 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และปทุมธานี
- สาขาศรีนครินทร์ โทร. 097-921-9552
- สาขาร่มเกล้า โทร. 095-906-0633
- สาขาลำลูกกา โทร. 092-940-5098
ข้อมูลอ้างอิง
1. ใบขับขี่รถยนต์มีกี่ชนิด กี่ประเภท? มีค่าใช้จ่ายเท่าไรบ้าง?. สืบค้นวันที่ 23 มิถุนายน 2568 จาก https://rabbitcare.com/blog/car-driver-tips/thai-driving-license